"เต็นท์" อุปกรณ์สำคัญสำหรับนักเดินทาง
1. เต็นท์แบบสามเหลี่ยม (Pup Tent)
2. เต็นท์โครง (A Frame)
3. เต็นท์โดม (Dome)
4. เต็นท์แบบกระโจม (Teepee)
5. เต็นท์แบบอุโมงค์ (Tunnel or Hoop)
6. เต็นท์สปริง (Spring)
1. พื้นเต็นท์ เป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นดิน สามารถกันน้ำและมีความทนทานสูง
2. ตัวเต็นท์ เป็นส่วนที่อยู่เหนือพื้นเต็นท์ขึ้นมา ทำหน้าที่กันลม ฝน
3. เสาหรือโครงเต็นท์ เป็นส่วนที่ช่วยทำให้เต็นท์ทรงตัวอยู่ได้ เสาเต็นท์ที่นิยมใช้กันจะมีเป็นแบบอลูมิเนียม ไฟเบอร์กลาส ซึ่งถ้าเป็นเต็นท์สามเหลี่ยม เสาที่ใช้มักจะเป็นอลูมิเนียม ส่วนเต็นท์โดม เต็นท์อุโมงค์จะใช้เป็นไฟเบอร์กลาส ซึ่งมีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง สามารถโค้งงอได้
4. ฟลายชีท จะเป็นผ้าที่ใช้กันลมและฝน คุณสมบัติทั่วไปของฟลายชีทคือ สามารถกันน้ำได้ เนื่องจากมีการเคลือบสารกันน้ำเอาไว้ ทำให้เวลาฝนตกน้ำจะไม่ไหลเข้าสู่ตัวเต็นท์
5. สมอบกและเชือก ใช้สำหรับยึดเต็นท์กับพื้นดิน เพื่อไม่ให้ปลิวไปกับลม สมอบกจะมีทั้งแบบอลูมิเนียม พลาสติก ซึ่งแต่ละแบบจะมีความแข็งแรงและน้ำหนักไม่เท่ากัน
6.ประตูและหน้าต่าง ใช้สำหรับเป็นทางเข้าออกและเป็นช่องทางระบายอากาศ เต็นท์โดยส่วนใหญ่ จะมีประตูด้านเดียว แต่ในบางรุ่นก็มีประตูเข้าออกได้ทั้งสองด้านส่วนหน้าต่าง จะขึ้นอยู่กับชนิดและรุ่นของเต็นท์ เต็นท์บางชนิดที่ใช้กับอากาศหนาวมากๆ อาจจะไม่มีหน้าต่างเลยก็ได้
7. ช่องเก็บของ เต็นท์บางรุ่นจะมีช่องเก็บของด้านใน ซึ่งจะอยู่บริเวณติดกับผนังเต็นท์ด้านข้าง หรือด้านบนตัวเต็นท์ตรงกึ่งกลาง ซึ่งจะพอเก็บของจุกจิกได้เล็กน้อย เช่น แว่นตา ไฟฉาย ฯลฯ
ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อเต็นท์
ก่อนที่เราจะซื้อเต็นท์สักหลัง เราควรพิจารณาข้อมูลต่างๆ หลายๆ ด้าน แรกสุด เราควรจะสามารถตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้เสียก่อนที่จะพิจารณาเลือกซื้อเต็นท์สักหลัง
เราเที่ยวบ่อยแค่ไหน? ถ้าในปีหนึ่งๆ เราเที่ยวแค่ไม่กี่ครั้ง ก็อาจจะยืมเต็นท์เพื่อนๆ เอาจะคุ้มกว่า เพราะถ้าเสียเงินซื้อไปแล้วไม่ค่อยได้ใช้ อุปกรณ์บางอย่างจะเสื่อมตามกาลเวลา เช่น สารเคลือบเต็นท์บริเวณผนังเต็นท์อาจจะหลุดลอกเมื่อเวลาผ่านไป เป็นต้น
งบประมาณมีเท่าไร? งบประมาณจะส่งผลต่อเต็นท์ที่เราจะเลือกซื้อ ถ้างบประมาณเราน้อยก็อาจจะได้เต็นท์ที่มีคุณสมบัติไม่มากเท่าไร ถ้าคุณต้องการเต็นท์ที่ดี แน่นอนก็ต้องจ่ายแพงกว่า ทั้งนี้ขึ้นกับงบประมาณของคุณเป็นหลัก เพราะใครๆ ก็อยากได้เต็นท์ที่ดีอยู่แล้ว
เต็นท์ที่เราซื้อจะไปใช้กับการเดินทางท่องเที่ยวแบบไหน? เช่น การขับรถเที่ยว (คาร์แค้มป์) หรือการเดินป่า เป็นต้น ถ้าหากคุณชอบขับรถเที่ยว น้ำหนักของเต็นท์อาจจะไม่สำคัญเท่าไรในการพิจารณาเลือกซื้อ แต่หากคุณต้องเดินป่าระยะไกลก็อาจจะต้องพิจารณาถึงเรื่องน้ำหนักและคุณสมบัติเฉพาะบางอย่างเป็นพิเศษ ทั้งนี้ขึ้นกับสไตล์การท่องเที่ยวของคุณ
ภูมิอากาศของสถานที่ที่เราไปแค้มปิ้ง หากคุณชอบไปป่าหน้าฝน พวกอุปกรณ์กันฝนก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ เพราะเต็นท์บางรุ่นจะมีอุปกรณ์กันฝนมาให้ (เช่น ฟลายชีท) บางรุ่นก็ไม่มี ขนาดของเต็นท์ที่คุณต้องการ คุณต้องการเต็นท์ที่นอนได้กี่คน ไม่ใช่ว่าเต็นท์ขนาดใหญ่จะดีกว่าเต็นท์ขนาดเล็ก เพราะขนาดจะแปรผันตรงกับน้ำหนัก หากไปป่าที่ต้องเดินก็ควรพิจารณาซื้อเต็นท์เล็กนอนได้ 1-2 คน ถ้าเที่ยวกับรถก็ซื้อใหญ่กว่าก็ได้ไม่มีปัญหา หลังจากที่คุณสามารถตอบคำถามในใจคุณได้แล้ว ลองดูในใบตัวอย่างสินค้าของแต่ละยี่ห้อ คุณก็จะสามารถเลือกเต็นท์ได้แล้วว่ามีรุ่นไหนที่ตรงกับที่คุณต้องการบ้าง คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราต้องไปซื้อเต็นท์กันแล้ว
เราจะมีวิธีเลือกและตรวจสอบตัวเต็นท์ที่จะซื้ออย่างไรบ้าง
1. เมื่อเราได้คำตอบแล้วว่าเราต้องการเต็นท์แบบไหน ก็ลองหารายละเอียดตัวอย่างสินค้าของแต่ละยี่ห้อมาดูก่อน ศึกษาก่อนว่าแต่ละยี่ห้อมีรุ่นไหนที่ตรงกับความต้องการของคุณบ้าง ซึ่งคุณควรพิจารณายี่ห้อของเต็นท์ที่คุณจะซื้อด้วยว่ามีบริการเป็นอย่างไร ถ้าสินค้ามีปัญหาจะนำมาเปลี่ยนหรือซ่อมได้หรือไม่

3. ลองกางเต็นท์ดู แกะออกจากถุงแล้วลองกางดูว่ากางยากหรือเปล่า เต็นท์บางรุ่นกว่าจะกางได้เสร็จเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ถ้าสงสัยอะไรก็ให้ถามพนักงาน แล้วลองดูสเป็คข้างถุงเต็นท์ว่าตรงกับตัวเต็นท์หรือเปล่า มุดเข้าไปในตัวเต็นท์ลองนั่งดูว่าพื้นที่ใช้สอยมากพอตามความต้องการหรือไม่ หน้าต่างระบายอากาศมีมากพอหรือไม่ แล้วลองนั่งจินตนการดูว่าพวกกระเป๋า รองเท้า อุปกรณ์ต่างๆ ของเราจะวางไว้ตรงไหนของเต็นท์ แล้วจะมีที่เหลือพอสำหรับนอนหรือเปล่า
4. ตรวจสอบตะเข็บเต็นท์ตามมุมต่างๆ ว่าเย็บดีหรือไม่ ลองรูดซิปตามประตูหน้าต่างดูว่ามีปัญหาหรือไม่ ตรวจสอบการเคลือบผิวของสารกันน้ำตามตัวเต็นท์ หรือฟลายชีทที่มากับเต็นท์ ตามปรกติพวกฟลายชีทและผนังเต็นท์มักจะเคลือบสารเพื่อกันน้ำซึมไหลเข้าเต็นท์เอาไว้ หลังจากตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อย ก็ลองเก็บเต็นท์ดูว่าเก็บยากหรือไม่
5. ถ้าคุณตัดสินใจแล้วว่าเต็นท์นี้แหละที่ใช่แบบที่คุณต้องการ คราวนี้ก็ต้องมาเลือกสีกันแล้ว เต็นท์แต่ละรุ่นจะมีสีให้เลือกไม่มากนัก ไม่เหมือนเสื้อผ้าที่มีสีหลากหลาย ข้อควรพิจารณาคือ สีอ่อนจะช่วยให้แสงส่องผ่านเต็นท์ได้ดีกว่าสีเข้ม ส่วนสีเข้มจะดูดความร้อนได้ดีกว่าสีอ่อน หากใช้ในที่อากาศหนาวก็จะทำให้อุ่นขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ซื้อด้วยว่าชอบสีสไตล์ไหน
การดูแลรักษาเต็นท์
การดูแลรักษาเต็นท์ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยาก ลองอ่านวิธีการเหล่านี้ดูแล้วคุณจะรู้ว่า เต็นท์ดูแลง่ายนิดเดียว
1. ฝึกกางเต็นท์ให้ถูกวิธี การที่คุณเรียนรู้วิธีการกางเต็นท์อย่างถูกวิธี จะทำให้เต็นท์ของคุณไม่เกิดความเสียหาย เพราะบางครั้งการกางเต็นท์ไม่ถูกวิธี อาจทำให้อุปกรณ์บางชิ้นเกิดความเสียหายได้ เช่น อาจจะใส่เสาเต็นท์ผิดอันทำให้เกิดความเสียหายเวลางอเสาเข้ากับเต็นท์ เป็นต้น
2. อย่าเก็บเต็นท์ของคุณขณะที่เปียกถ้าไม่จำเป็น เพราะอาจจะทำให้เกิดกลิ่นอับได้ เราควรจะนำเต็นท์มาผึ่งลมให้แห้งก่อนและนำเศษสิ่งสกปรกออกจากเต็นท์ แล้วจึงปิดซิปให้เรียบร้อย
3. ไม่ควรใช้สารเคมีในการทำความสะอาดเต็นท์ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะทำลายสารที่เคลือบเต็นท์ไว้ ควรใช้แค่ผ้าชุบน้ำเช็ดก็พอ ห้ามใช้แปรงขัดเพราะแปรงจะทำให้สารเคลือบหลุดออกเช่นกัน
4. ใช้ผ้าพลาสติกปูรองพื้น ผ้ารองพื้นจะใช้ปูรองพื้นก่อนกางเต็นท์ ประโยชน์คือช่วยปกป้องตัวเต็นท์จากหินและกิ่งไม้อันแหลมคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้พื้นเต็นท์เกิดความเสียหายได้ และนอกจากนี้ยังช่วยลดเวลาในการทำความสะอาด เพราะเราเพียงแต่ทำความสะอาดที่ผ้าปูเท่านั้น
5. ใช้สมอบกปักเต็นท์ บางคนอาจคิดว่าสมอบกไม่จำเป็นเพราะเต็นท์สามารถทรงตัวได้อยู่แล้ว แต่บางครั้งเมื่อลมแรง เต็นท์อาจจะมีการพลิกซึ่งอาจจะทำให้เต็นท์เสียหาย ถ้าช่วงที่คุณกางเต็นท์มีลมแรงควรจะนำสัมภาระเข้าไปไว้ในเต็นท์ แล้วปักสมอบกยึดไว้ ซึ่งจะช่วยป้องกันเต็นท์พลิกจากแรงลมได้
6. ใช้อุปกรณ์ซ่อมแซมเต็นท์ถ้าจำเป็น หากเต็นท์คุณเกิดการเสียหาย เช่น ผนังเต็นท์มีรอยฉีกขาด ควรใช้พวกผ้าเทปปิดรอยขาดนั้นไว้ มิฉะนั้นรอยขาดนั้นจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ (ลองคิดถึงเสื้อผ้าที่ขาดดู ถ้าเรายิ่งดึงก็จะยิ่งขาดมากขึ้น) อุปกรณ์ซ่อมแซมเต็นท์สามารถหาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์แค้มปิ้งทั่วไป
วิธีการกางเต็นท์อย่างถูกวิธี
ตัวอย่างวิธีการกางเต็นท์แบบง่ายๆ ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าการกางเต็นท์ไม่ใช่เรื่องยาก ตัวอย่างที่มาแสดงจะเป็นการกางเต็นท์โดม ถ้าเป็นแบบอื่นๆ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
2. เริ่มด้วยการติดตั้งโครงเต็นท์ โดยเอาบริเวณปลายของโครงเสียบกับตรงมุมเต็นท์ ซึ่งจะมีช่องสำหรับเสียบโครงเต็นท์อยู่ หลังจากนั้นให้นำขอเกี่ยวบริเวณตัวเต็นท์ นำมาเกี่ยวกับตัวโครง ถึงขั้นตอนนี้เต็นท์ของคุณจะขึ้นเป็นรูปได้แล้ว สำหรับบางรุ่นอาจจะต้องมีการเอาตัวโครงมาสอดกับตัวเต็นท์ให้ทะลุไปอีกด้านหนึ่งแล้วงอโครงโดยให้ปลายทั้งสองข้างเสียบเข้าไปในช่องที่มุมเต็นท์
3.หลังจากตั้งโครงแล้วก็จะได้เต็นท์ ที่พร้อมจะกางฟลายชีทได้
4.ติดตั้งเสาสำหรับฟลายชีท โดยนำเสามาพาดกลางเต็นท์และผูกตัวเสาฟลายชีทกับบริเวณกลางเต็นท์ที่เสาโครงเต็นท์สองด้านตัดกัน
5. ติดตั้งฟลายชีทโดยนำขอเกี่ยวของฟลายชีทเกี่ยวกับบริเวณมุมเต็นท์ทั้ง 2 ด้าน แล้วนำฟลายชีทมาพาดเสากลาง
6. ติดตั้งฟลายชีทอีกด้าน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็จะได้เต็นท์ที่เสร็จสมบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น